ในช่วงที่ภาวการณ์แพร่ระบาดของไข้ไวรัสโควิด19 นี้ยังคงมีอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเมื่อไหร่ จนมีมาตรการแกมบังคับและเชิญชวนขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน รวมไปถึงการปิดห้างร้านและบริษัทฯ ต่างๆ เป็นเวลาชั่วคราว
(ซึ่งคำว่าชั่วคราวของรัฐบาล ไม่รู้จะทำให้บางบริษัทฯ ต้องการเป็นปิดถาวรหรือไม่ เพราะดูไม่มีแผนรองรับอะไรเลย) ซึ่งช่วงเวลาที่ประชาชนต้องอยู่บ้านนี้ก็ทำให้การรับชมคอนเทนต์ ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมทำกัน โดยเฉพาะการดูผ่านแอฟพิเคลชั่น ต่างๆ
เพราะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคสามารถเลือกดูได้มากกว่าช่องทีวี ปรกติ โดยข้อมูลจากไลน์ประเทศไทยได้กล่าวว่า มีผู้เข้าไปใช้บริการ Line TV ในปี 2019 มากกว่า สี่สิบล้านราย โดยเป็นค่าเฉลี่ยที่หนึ่งคนต่อ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกนาที หรือเทียบเท่าเกือบสามชั่วโมงเลยทีเดียวเลยต่อวัน ซึ่งช่วงเวลาที่มีการรับชมมากที่สุดจะมีอยู่สามช่วง คือช่วงพักเที่ยงถึงบ่ายสอง
ช่วงหลังเลิกงานคือ บ่ายสาม ถึง หกโมงเย็น และช่วงเวลาครอบครัวคือ สองทุ่มถึงสี่ทุ่ม โดยเริ่มมีการต่อสายผ่านการรับชมทางจอทีวีมากขึ้น ซึ่งทำให้เห็นว่าสื่อออนไลน์ไม่ใช่แค่สื่อทางเลือกอีกต่อไป ซึ่งจากจุดสังเกตที่ทำให้เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเนื่องจากล่าสุดตามค่ายหนังต่างๆ
เริ่มมีการแห่สตรีมมิ่งชนโรง พลิกเกมส์ในช่วงพิษโควิด ที่คนไม่สามารถเข้าไปดูที่โรงภาพยนตร์ได้อีกต่อไป และจะทำให้สิ่งนี้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งจากเดิมผู้ผลิตหนังเคยเน้นฉายภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ก่อนเก้าสิบวัน และค่อยมาสตรีมมิ่งทางออนไลน์ โดยที่ปัจจุบันสถานการณ์ที่เป็นการแพร่ระบาดของไข้ไวรัสโควิดนี้ อาจจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ทำให้ผู้ผลิตค่ายหนังแต่ละค่าย
ได้มีการลองทำการตลาดจริงผ่านสื่อออนไลน์ในโอกาสนี้เลย เพราะจากอดีตที่ผ่านมานั้น การทำหนังบนตลาดโรงภาพยนตร์ถือว่ามียอดกำไรที่สูงกว่าการขายซีดีหรือแผ่นดีวีดีอยู่แล้ว แต่นั่นเป็นการทำการตลาดที่มีการฉายจริงในโรงภาพยนตร์อย่างน้อยเก้าสิบวัน แต่การทำตลาดใหม่นี้จะเป็นการสตรีมมิ่งพร้อมกับฉายจริงในโรงภาพยนตร์ ซึ่งการทำการตลาดแบบนี้อาจจะทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป
เพราะจะได้ดูภาพยนตร์ที่ตัวเองชอบอยู่ที่บ้านและมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น อีกทั้งไม่ต้องเสียเวลาไปห้างสรรพสินค้าหรือโรงภาพยนตร์ และยังสามารถที่จะเลือกเวลาดูได้ตามความสะดวกโดยที่ไม่ต้องรอรอบภาพยนตร์ฉายอีกต่อไปในอนาคต
ได้รับการสนับสนุนโดย จีคลับ มือถือ